วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ความหมายของ พระไตรปิฎก

ความหมายของ พระไตรปิฎก

"ตู้พระไตรปิฏก วัดระฆังโฆสิตาราม"

พระไตรปิฏก แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำๆ ว่า พระ + ไตร + ปิฏก คำว่า "พระ" เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำว่า "ไตร" แปลว่า สาม คำว่า "ปิฏก" แปลได้ ๒ อย่าง คือ แปลว่า คัมภีร์ หรือแปลว่า กระจาด ตะกร้า

ดังนั้น พระไตรปิฏก จึงหมายถึง สิ่งที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ไม่ไห้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของนั้นเอง

ปิฏก ๓ หรือพระไตรปิฏก แบ่งออกเป็น
๑. พระวินัยปิฏก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
๒. พระสุตตันตปิฏก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วไป
๓. พระอภิธรรมปิฏก ว่าด้วยธรรมล้วนๆ หรือธรรมสำคัญ

พระไตรปิฎก

พระวินัยปิฏก
คัมภีร์ว่าด้วยระเบียบวินัย
พระสุตตันตปิฏก
คัมภีร์ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วๆ ไป มีประวัติ และท้องเรื่องประกอบ เน้นความสำคัญในสมาธิ คือการพัฒนาด้านจิตใจ
พระอภิธรรมปิฏก
คัมภีร์ว่าด้วยหลักธรรม และคำอธิบาย ที่เป็นเนื้อหาวิชาการล้วนๆ ไม่มีประวัติและท้องเรื่องประกอบ
ความสำคัญของพระไตรปิฎก
     ก่อนปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสทำนองสั่งเสียกับพระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานล่วงลับไปแล้ว จะไม่ทรงตั้งภิกษุรูปใดแทนพระองค์ หากแต่ให้ชาวพุทธทั้งหลายยึดพระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ ตามพระพุทธพจน์ว่า "โย โว อานนฺท มยาธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา" แปลว่า ดูก่อน อานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราได้แสดงแล้วและบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น เป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลที่เราล่วงลับไป
     พระพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า พระธรรมวินัย ถือเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงเท่ากับเป็นองค์พระศาสดาและเป็นตัวแทนพระพุทธศาสนา และพระธรรมวินัยทั้งหลายนั้นล้วนได้ประมวลอยู่ใน พระไตรปิฏก ทั้งสิ้น
อาจกล่าวได้ว่า พระไตรปิฏก มีความสำคัญดังนี้ คือ
๑. เป็นที่รวบรวมไว้ซึ่งพระพุทธพจน์ คือคำสั่งของพระพุทธเจ้า
๒. เป็นที่สถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนิกชน เราสามารถเฝ้าพระพุทธเจ้า หรือรู้จักพระพุทธเจ้าได้จากพระไตรปิฏก
๓. เป็นแหล่งต้นเดิมหรือแม่บทในพระพุทธศาสนา
๔. เป็นมาตรฐานตรวจสอบคำสอนและข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนา คำสอนและข้อปฏิบัติใดๆ ที่จะถือว่าเป็นคำสอนและข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนาได้ จะต้องสอดคล้องกับพระธรรมวินัยในพระไตรปิฏก
๕. เป็นคัมภีร์ที่ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ทางวิชาการ

สุชาดา วราหพันธ์, วิถีธรรมวิถีไทย, หน้า ๔๒-๔๓

อุดมคติในทางพระพุทธศาสนา

อุดมคติในทางพระพุทธศาสนา 
Buddhist ideals

             พระพุทธศาสนามีคำสอนที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นสัจนิยมที่สอนเรื่องความจริงของสิ่งทั้งหลาย หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นเน้นเรื่องการทำชีวิตให้มีความสุขทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และเป้าหมายสูงสุดที่เรียกว่า ปรมัตถประโยชน์ คือ พระนิพพาน พระนิพพานก็คือเป้าหมายสูงสุดที่ทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าถึงได้ เป็นสภาวะที่หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งกิเลสและสิ่งมัวหมองทั้งหลาย แม้ยังมีชีวิตการนิพพานก็คือการไม่มีกิเลสเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส อยู่ในโลกอย่างเข้าใจโลก อยู่ในโลกอย่างเหนือโลก ในการนี้จึงนำเสนอลักษณะพิเศษหรืออุดมคติของพระพุทธศาสนา เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เห็นและเข้าใจตามเป็นจริง โดยจะแยกเป็นประเด็นไป ดังนี้
 ศาสนาแห่งความมีเหตุผล
                พระพุทธเจ้าได้ทรงถือปัญญาว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าสอนคนให้ใช้ เหตุผลมองการณ์ไกลไปในโลก พระพุทธเจ้าทรงอธิบายปรากฏการณ์ของมนุษย์และธรรมชาติ มิใช่โดยความเชื่อหรือความยึดถือในความเหนือเหตุผลที่ไร้เหตุผล แต่โดยการใช้กฎแห่งความเป็นเหตุผลที่เป็นเหตุเป็นผล ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่เป็นรูปธรรมและไม่เป็นรูปธรรมทั้งหมดต้องอยู่ในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ (นิยาม) กฎธรรมชาติหรือนิยาม ๕ ประเภท ได้กล่าวไว้ตามลำดับใน สุมังคลวิลาสินี ดังต่อไปนี้
.กรรมนิยาม เป็นกฎแห่งกรรมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ นั่นก็คือ กระบวนการแห่งการกระทำ และการให้ผลแห่งการกระทำ ว่าตามกฎข้อนี้คือกฎแห่งกรรม กรรมหรือการกระทำก่อให้เกิดผลิตผลแห่งวิปากกรรม การกระทำที่ดีจะผลิตผลที่ดี และการทำชั่วจะผลิตผลที่ชั่ว
.อุตุนิยาม เป็นกฎธรรมชาติเกี่ยวกับวัตถุทางกายภาพ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ, ฤดูกาล และเหตุการณ์ที่เป็นไปตามทางกายภาพ
. พีชนิยาม เป็นกฎธรรมชาติแห่งพันธุกรรม ดังคำกล่าวที่ว่า“ตามที่พืชท่านหว่านลงไปเช่นใด ท่านก็จะได้ผลที่ได้รับจากการกระทำ”
.จิตตนิยาม เป็นกฎทางด้านจิตใจที่เกี่ยวกับงานของจิต เช่น หน้าที่ของวิญญาณในกระบวนการแห่งการเสวยอารมณ์ (เวทนา) และการรับรู้
.ธรรมนิยาม เป็นกฎแห่งธรรมที่ควบคุมความสัมพันธ์และความเกี่ยวเนื่องกันแห่งทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทเป็นกฎสากลที่สุด ที่รวมเอานิยาม ๔ ข้างต้นเอาไว้
โดยกฎหมวดนี้ พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธความเป็นผู้ชี้ขาดของลัทธิเทวนิยม ช่วงชีวิตของมนุษย์ไม่ได้กำหนดโดยเจตนาของพระผู้เป็นเจ้า (อิสสรนิมานเหตุ) แต่โดยกรรมที่เขาทำไว้ สภาวะปัจจุบันของมนุษย์เป็นผลแห่งการกระทำหรือกรรมในอดีตของเขา พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์มีชีวิตเป็นเจ้าของแห่งการกระทำของตน เป็นผู้ทายาทแห่งการกระทำของตน การกระทำหรือกรรมนั้นเป็นมดลูกที่ตนถือกำเนิดมา การกระทำของตนเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งที่อาศัย ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อที่เหนือเหตุผลในหลายรูปแบบนั้นถูกปฏิเสธโดยพระพุทธเจ้า” ดังที่พระองค์ตรัสว่า
แม้ว่าจะชำระล้างตนเองอยู่เป็นประจำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นแม่น้ำพหุคะ แม่น้ำคยา คนโง่ก็ไม่ได้ทำความสะอาดของกรรมที่เลวทรามของเขาได้ แม่น้ำเหล่านี้จะทำอะไรได้ แม่น้ำเหล่านั้นไม่สามารถจะชำระล้างคนผิดที่เลวร้ายนั้นผู้ซึ่งทำกรรมชั่วมาได้เลย เพราะความบริสุทธิ์เท่านั้นเป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ วันอยู่แล้ว”
คนโง่ผู้ซึ่งเฝ้ามองความดีจะเสียประโยชน์ของตนไป ประโยชน์นั้นเป็นโชคในตัวของมันเอง เพียงแต่ดวงดาวนั้นจะทำอะไรให้เขาได้?”
เป็นเรื่องที่ควรค่าที่กล่าวไว้ในที่นี้ว่า ความมีเหตุมีผลมุมมองที่เหตุผลของพระพุทธศาสนานำไปสู่ความเป็นมิตรกับวิทยาศาสตร์ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของพระพุทธศาสนาไม่เคยมีข้อวิภาษกับวิทยาศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์ เนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพระพุทธศาสนาปฏิเสธความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า และความเชื่อที่ไร้เหตุซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของวิทยาศาสตร์ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในเรื่องกฎแห่งธรรมชาติ ในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผลนั้นเป็นรากฐานร่วมกันมีความเป็นไปกันได้ระหว่างพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ อัลเบริต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ ๒๐ กล่าวไว้ว่า ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งสากล ศาสนานั้นควรจะอยู่เหนือพระผู้เป็นเจ้า หลีกเลี่ยงความยึดมั่นถือมั่นและวิชาที่ว่าด้วยทฤษฎี ครอบคลุมทั้งทางด้านธรรมชาติและทางด้านจิตวิญญาณ ศาสนานั้นควรจะตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความหมายทางศาสนาที่เกิดมาจากประสบการณ์แห่งทุกสิ่งทุกอย่างทั้งทางธรรมชาติและจิตวิญญาณในฐานะที่เป็นหน่วยที่มีความหมายแห่งศาสนา และศาสนาที่ว่านี้เป็นศาสนาในอนาคต พระพุทธศาสนาให้คำตอบต่อนิยามนี้ได้ แล้วเขากล่าวต่อไปว่า ถ้าจะมีศาสนาซักศาสนาหนึ่งที่จะครอบคลุมความจำเป็นทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนานั้นก็ควรจะเป็นพระพุทธศาสนา

วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก


                          หลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก


ภาพรวมหลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก

     หลวงพ่อทัตตชีโว ได้ให้ภาพรวมหลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎกไว้อย่างชัดเจน ดังภาพที่แสดงไว้ในหน้าที่ผ่านมา จะเห็นว่าหลักธรรมทั้งหมดในพระไตรปิฎก มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุ "นิพพาน" อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

สำหรับหลักธรรมต่างๆ ในพระไตรปิฎกอันเป็นหลักปฏิบัติเพื่อไปสู่นิพพานนั้น เป็นหลักธรรมที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันทุกหมวดไม่มีความขัดแย้งกันสามารถย่อได้และขยายได้หากย่อจนถึงที่สุดก็จะเหลือเพียงข้อเดียวคือ "ความไม่ประมาท" หากขยายความแล้วก็จะได้มากถึง "84,000 ข้อ หรือ พระธรรมขันธ์" แบ่งเป็นพระวินัย 21,000 ข้อ พระสูตร 21,000 ข้อ และพระอภิธรรม 42,000 ข้อ

         นอกจากนี้ หลักธรรมทั้งหมดในพระไตรปิฎกอาจจะแบ่งให้เหลือ 3 ข้อก็ได้ คือ ละชั่วทำดี และทำใจให้ผ่องใสหลักธรรม 3 ข้อนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไตรสิกขา คือ ศีลสิกขาจิตสิกขา และปัญญาสิกขา หากจะขยายจาก 3 ข้อนี้ ให้เป็น 8 ข้อ ก็ได้เรียกว่า มรรคมีองค์ 8 อันประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปปะสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ โดยสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ จัดอยู่ในปัญญา สิกขาสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ จัดอยู่ในศีลสิกขาสัมมาวายามะสัมมาสติ และสัมมาสมาธิจัดอยู่ในจิตสิกขาหลักธรรมในแต่ละหมวดมีรายละเอียดโดยย่อดังต่อไปนี้


  

นิพพาน

         นิพพาน หมายถึง การดับกิเลส และกองทุกข์ทั้งปวง นิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแบ่งนิพพานออกเป็น 2 ประการ คืออุปาทิเสสนิพพาน และ อนุปาทิเสสนิพพาน
          1) อุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้วหลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เป็นผู้มีราคะ โทสะ และโมหะสูญสิ้นแล้วแต่ยังเป็นผู้เสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ 5 ยังไม่บุบสลาย
         หลวงพ่อทัตตชีโว อธิบาย อุปาทิเสสนิพพานไว้ว่า เป็นพระนิพพานในตัวบางครั้งก็เรียกว่า "นิพพานเป็น" หมายความว่า ในขณะที่อา วะกิเลสูญสิ้นไปหมดแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีขันธ์ 5 อยู่ มีธรรมกายปรากฏอยู่ในตัว ทำให้รู้สึกเป็นสุขเหมือนอยู่ในอายตนนิพพานอย่างแท้จริงเพียงแต่ยังอาศัยกายมนุษย์อยู่เท่านั้น
         2) อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้วหลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้ของภิกษุนั้นเป็น ภาพที่กิเลส มีตัณหา เป็นต้น ครอบงำไม่ได้อีก
       หลวงพ่อทัตตชีโว อธิบายอนุปาทิเสสนิพพานไว้ว่า เป็นนิพพานที่อยู่นอกตัว บางครั้งก็เรียกว่า "นิพพานตาย" หมายความว่าเมื่อขันธ์ 5 แตกดับสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษแล้ว ธรรมกายที่อยู่ใน อุปาทิเสสนิพพาน จึงตกศูนย์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ณ จุดนี้เองที่เรียกว่า "อายตนนิพพาน" ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายตั้งจิตปรารถนาจะไปถึง

3. ความไม่ประมาท
        ความไม่ประมาท หมายถึง ความไม่เลินเล่อ ไม่พลั้ง ไม่เผลอ มีสติเสมอส่วนความประมาท คือ การขาดสติ ความพลั้งเผลอ ความไม่ประมาทเป็นหลักธรรมใหญ่ ซึ่งรวมธรรมทั้งหมดในพระไตรปิฎกไว้ในข้อนี้เพียงข้อเดียว
       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในปทสูตรว่า รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมถึงความประชุมลงในรอยเท้าช้างรอยเท้าช้าง บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ารอยเท้าสัตว์เหล่านั้นเพราะเป็นรอยใหญ่แม้ฉันใด กุศลธรรมทั้งหมดนั้นมีความไม่ประมาทเป็นมูลรวมลงในความไม่ประมาทความไม่ประมาทบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ไม่ประมาทพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคมีองค์ 8
      ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น พระองค์ก็ได้ตรัสพระปัจฉิมวาจาไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" พระดำรัสนี้ ถือว่าเป็นการสรุปหลักธรรมทั้งหมด ที่พระองค์ตรัสสอนมาตลอด 45 พรรษาให้เหลือเพียงข้อเดียวคือ ความไม่ประมาทเท่านั้น
       พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้อธิบายขยายความเรื่องความไม่ประมาท ไว้ในกัณฑ์ที่ว่าด้วยเรื่องปัจฉิมวาจาว่า
        ความประมาท คือ เผลอไป ความไม่ประมาท คือ ความไม่เผลอ ไม่เผลอละใจจดใจจ่อทีเดียว...ท่านจึงได้อุปมาไว้ ไม่ประมาท ไม่เผลอในความเสื่อมไปในปัจฉิมวาจา นึกถึงความเสื่อมอยู่เสมอ นึกหนักเข้าๆ แล้วใจหาย นี่เรามาคนเดียวหรือ นี่เราก็ตายคนเดียว บุรพชนต้นตระกูลของเราไปไหนหมด ตายหมด เราล่ะก็ตายแบบเดียวกัน ตกใจละคราวนี้ ทำชั่วก็เลิกละทันที รีบทำความดีโดยกะทันหันทีเดียว เพราะไปเห็นอ้ายความเสื่อมเข้า ถ้าไม่เห็นความเสื่อมละก็ กล้าหาญนักทำชั่วก็ได้ ด่าว่าผู้หลักผู้ใหญ่ได้ตามชอบใจ 

4. ละชั่วทำดีทำใจให้ผ่องใส
      หลักธรรมทั้งหมดในพระไตรปิฎก นอกจากจะรวมลงในความไม่ประมาทเพียงข้อเดียวแล้ว ยังสามารถขยายออกเป็น 3 ข้อได้ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาปทานสูตรเรื่องโอวาทปาฏิโมกข์ว่า
(1) การไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว)
(2) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำดี)
(3) การทำจิตของตนให้ผ่องใส(ทำใจให้ผ่องใส)
           นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
       (1) การไม่ทำบาปทั้งสิ้น มาจากภาษาบาลีว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ หมายถึง ไม่ทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ สพฺพปาปสฺส อกรณํ นี้ ครอบคลุมพระวินัยปิฎกทั้งหมด หากจัดเข้าในไตรสิกขาก็จะตรงกับ "ศีลสิกขา"
       (2) การยังกุศลให้ถึงพร้อม มาจากภาษาบาลีว่า กุสลสฺสูปสมฺปทา หมายถึง ทำความดีให้มีขึ้นด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ กุสลสฺสูปสมฺปทา นี้ ครอบคลุมพระสุตตันตปิฎกทั้งหมดหากจัดเข้าในไตรสิกขาก็จะตรงกับ "จิตสิกขา"
        (3) การทำจิตของตนให้ผ่องใสมาจากภาษาบาลีว่า สจิตฺตปริโยทปนํ หมายถึง ทำจิตใจของตนให้ผ่องใส สจิตฺตปริโยทปนํ นี้ ครอบคลุมพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด หากจัดเข้าในไตรสิกขาก็จะตรงกับ "ปัญญาสิกขา"

5. มรรคมีองค์ 8

      มรรค แปลว่า ทาง, หนทาง มรรคมีองค์ 8 จึงหมายถึง หนทางปฏิบัติหรือข้อปฏิบัติ 8 ประการ เพื่อให้ถึงความดับทุกข์ นั่นคือการได้บรรลุนิพพานนั่นเองมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมข้อหนึ่งในอริยสัจ 4 ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์คือตัณหา) นิโรธ (ความดับทุกข์) และมรรคคือหนทางดับทุกข์ เมื่อกล่าวถึงมรรคเพียงข้อเดียวแต่ก็มีความหมายเชื่อมโยงไปถึงอริยสัจอีก 3 ข้อที่เหลือด้วย เพราะธรรมทั้ง 4 ข้อมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
      พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมรรคมีองค์ 8 ไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นพระปฐมเทศนาหรือเทศนาครั้งแรกของพระองค์พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ ได้สรุปมรรคมีองค์ 8 ไว้ด้วยภาษาที่เข้าใจได้ง่ายดังนี้
(1) สัมมาทิฏฐิ คือ ความเข้าใจถูก โดยสามารถตัดสินได้อย่างถูกต้องว่า อะไรถูกผิดอะไรดีชั่ว อะไรบุญบาป อะไรควรไม่ควรทำ
(2) สัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดถูก โดยเลือกคิดเฉพาะในสิ่งที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป
(3) สัมมาวาจา คือ การพูดถูก โดยเลือกพูดเฉพาะในสิ่งที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป
(4) สัมมากัมมันตะ คือ การทำถูก โดยเลือกทำแต่ในสิ่งที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป
(5) สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพถูก โดยเลือกประกอบอาชีพที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป
(6) สัมมาวายามะ คือ การเพียรพยายามถูก โดยเพียรละเว้นความชั่ว เพียรทำความดีและเพียรกลั่นใจให้ผ่องใส
(7) สัมมาสติ คือ ความระลึกถูก โดยพยายามรักษาใจให้มีความสะอาดบริสุทธิ์ในการคิด พูด และทำอยู่เป็นปกติ
(8) สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งมั่นถูก โดยพยายามประคับประคองในขณะทำภาวนาให้หยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลางกายอย่างต่อเนื่องถูกส่วนเป็นปกติ จนกระทั่งเกิดความ ว่างขึ้นในใจที่นำไปสู่การเห็นธรรมะที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์อยู่ในตัว
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริกขารสูตรว่า องค์แห่งมรรค 7 ประการคือ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิถึงสัมมาสติ เป็นองค์ประกอบของสัมมาสมาธิ หรือประชุมลงในสัมมาสมาธิ ดังพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสองค์แห่งสมาธิ 7 ประการ คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะสัมมาสติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอกัคคตาจิต(ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว หรือ การที่จิตเป็นสมาธิ) ประกอบด้วยองค์ 7 ประการนี้เรียกว่าอริยสมาธิ...
     พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ก็เคยกล่าวไว้เช่นกันว่า "มรรคทั้ง 7 ประการจะประชุมรวมกันลงในสัมมาสมาธินี้" ด้วยเหตุนี้สัมมาสมาธิจึงมีความสำคัญสูงสุดในบรรดามรรคทั้งปวง ทำนองเดียวกับความไม่ประมาทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะการที่บุคคลจะเป็นผู้ "ไม่ประมาท" ได้อย่างสมบูรณ์ บุคคลผู้นั้นจะต้องมีสติกำกับตนเองอยู่ตลอดเวลา การที่บุคคลนั้นๆ จะมีสติกำกับตนเองอยู่ตลอดเวลา เขาจะต้องฝึกสัมมาสมาธิมาอย่างดีแล้ว จนใจของเขาจรดนิ่งอยู่ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ตลอดเวลา

6. ไตรสิกขา

ไตรสิกขา หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา 3 ประการ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงไตรสิกขาไว้ในภาวสูตรว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไตรสิกขาเป็นไฉน ไตรสิกขา คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เมื่อใด เธอเป็นผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาแล้วในไตรสิกขานี้ เมื่อนั้นภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้ตัดตัณหาขาดแล้ว คลายสังโยชน์ได้แล้ว ได้ทำที่สุดทุกข์เพราะละมานะได้โดยชอบฯ




      พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺท โร) ได้อธิบายขยายความเรื่องไตรสิกขาไว้ว่ามี 2 ระดับ คือ ระดับปกติหรือระดับต้น และระดับสูงหรือเกินระดับปกติขึ้นไป
       ไตรสิกขาระดับต้นนั้น จะเรียกว่า ศีล จิต(สมาธิ) และ ปัญญา หรือเรียกว่า ศีลสิกขาจิตสิกขา (สมาธิสิกขา) และปัญญาสิกขา ไตรสิกขาระดับต้นนี้ เป็นไตรสิกขาในระดับ "รู้" หมายถึง รู้ว่าไตรสิกขามีอะไรบ้างเมื่อรู้แล้วก็ปฏิบัติตามหลักไตรสิกขานั้นเมื่อปฏิบัติแล้วก็จะเป็นเหตุให้เข้าถึงไตรสิกขาระดับสูงต่อไป
      ไตรสิกขาระดับสูงหรือเกินระดับปกติขึ้นไปจะเรียกว่า อธิศีล อธิจิต และ อธิปัญญา หรือ เรียกว่า อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ไตรสิกขาระดับสูงนี้ เป็นไตรสิกขาในระดับ "เห็น" หมายถึง ได้ปฏิบัติสมาธิจนสามารถ "เห็น" ได้ด้วยตนเองว่าไตรสิกขาในตัวเรามีอะไรบ้าง กล่าวคือ ได้ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ในตัวที่ละเอียดเป็นชั้นๆ เข้าไปนั่นเอง
      คำว่า "อธิ" ในคำว่า อธิศีล เป็นต้น แปลว่า ยิ่ง เกิน หรือ ล่วง หมายถึง ไตรสิกขา ที่ยิ่งกว่า หรือเกินกว่า หรือล่วงพ้นจากไตรสิกขาในระดับต้น

7. พระไตรปิฎก


      พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อขยายความแล้วจะได้มากถึง 84,000 ข้อ หรือ 84,000 พระธรรมขันธ์ โดยจัดอยู่ในพระวินัยปิฎก 21,000 ข้อ จัดอยู่ในพระสุตตันตปิฎก 21,000 ข้อ และจัดอยู่ในพระอภิธรรมปิฎก 42,000 ข้อ
       พระไตรปิฎกหากนำมาเชื่อมโยงกับไตรสิกขาจะได้ดังนี้ คือ
พระวินัยปิฎก คือ ศีลสิกขา
สุตตันตปิฎก คือ จิตสิกขา
พระอภิธรรมปิฎก คือ ปัญญาสิกขา
    








8. นิยาม 5



     นอกจากหลักธรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีธรรมอีกหมวดหนึ่งซึ่งมีความสำคัญ แต่ปรากฏอยู่ในอรรถกถาคือเรื่องนิยาม 5 ซึ่งจะใช้เป็นหัวข้อสำคัญในการเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ ในบทวิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก
     นิยาม หมายถึง ความแน่นอน หรือหากใช้ในภาษาร่วม มัยที่เข้าใจได้ง่ายๆ นิยามก็อาจแปลว่า "กฎ" พระอรรถกถาจารย์ได้จำแนกนิยามไว้ 5 ประการคือ พีชนิยาม อุตุนิยาม จิตตนิยาม กรรมนิยาม และ ธรรมนิยาม2 กฎทั้ง 5 ประการนี้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและในอนันตจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามกฎทั้ง 5 ประการนี้ทั้งสิ้น
     1) พีชนิยาม (Biological Laws) หมายถึง กฎของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในทางวิทยาศาสตร์ใช้คำว่า กฎทางชีววิทยา กล่าวคือ เป็นกฎธรรมชาติที่ควบคุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ เช่น เมื่อเรานำเมล็ดข้าวเปลือกไปปลูก ต้นไม้ที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอหรือเมื่อช้างคลอดลูกออกมา ก็ย่อมเป็นลูกช้างเสมอ หรือถ้าเป็นมนุษย์เมื่อคลอดลูกออกมา ก็ย่อมเป็นมนุษย์เสมอ ความเป็นระเบียบหรือความแน่นอนนี้ ในทางพุทธศาสนา กล่าวว่า เป็นผลมาจากการควบคุมของพีชนิยาม
     2) อุตุนิยาม (Physical and Chemical Laws) หมายถึง กฎที่ควบคุมสิ่งไม่มีชีวิตทุกชนิด เช่น ดิน ฟ้า อากาศสาร วัตถุ ภพภูมิต่างๆ ตลอดอนันตจักรวาล ในทางวิทยาศาสตร์ใช้คำว่า กฎทางฟิสิกส์ ครอบคลุมตั้งแต่ที่เล็กที่สุด ได้แก่ อนุภาค อะตอม ไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่โต เช่น โลก กาแล็กซี่ และ เอกภพ ปรากฏการณ์ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฤดูกาล แม้กระทั่งการเกิดและการดับสลายของโลกก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติคือ อุตุนิยามนี
      3) กรรมนิยาม (The law of Karma) หมายถึง กฎแห่งกรรม กรรมคือการกระทำแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ กรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีย่อมตอบ นองในทางดี กรรมชั่วย่อมตอบสนองในทางชั่ว
      4) จิตตนิยาม (Psychic law) หมายถึง กฎการทำงานของจิตใจ พระพุทธศาสนาสอนว่า คนเราประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ ในส่วนของจิตใจนั้นมีความสำคัญในฐานะเป็นผู้สั่งการทุกอย่างให้ร่างกายปฏิบัติตาม หากเปรียบร่างกายเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ จิตใจก็เปรียบเหมือนผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ (User)
      5) ธรรมนิยาม (The law of cause and effect) มีความหมาย 2 นัย คือ นัยที่ 1 หมายถึง กฎแห่งเหตุและผลของสรรพสิ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้ขึ้น หลักธรรมต่างๆส่วนใหญ่ก็จัดอยู่ในหลักธรรมนิยาม เช่น ปฏิจจสมุปบาท (อวิชชาทำให้เกิดสังขารสังขารทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณทำให้เกิดนามรูป นามรูปทำให้เกิดสฬายตนะ สฬายตนะ ทำให้เกิดผัสสะ ผัสสะทำให้เกิดเวทนา เวทนาทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปาทาน อุปาทานทำให้เกิดภพ ภพทำให้เกิดชาติ ชาติทำให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ อุปายา) อริยสัจ 4 (สมุทัย คือตัณหา ทำให้เกิดทุกข์ มรรคนำไปสู่นิโรธ คือความดับทุกข์) เป็นต้น
    



แหล่งที่มา : <http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=14327>(9 พฤษภาคม 2560)

x

เนื้อหาของพุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก

พุทธปรัชญา

         พระพุทธเจ้าหรือพระมานเดิมว่า เจ้าชายสิตถะ ผู้เป็นต้นกำเนิดของพุทธปรัชญา แม้เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงสุขสำราญเพียบพร้อมไปด้วยสมบัติ และห้อมล้อมไปด้วยบริวารมากมายก็ตาม แต่พระองค์ก็มิได้ทรงหลงหรือคลั่งไคล้อยู่กับสิ่งเหล่านั้น พระองค์ทรงสนพระทัยในปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ ปัญหาที่กำลังคุกคามต่อประชาชนอยู่ในขณะนั้น ก็คือความทุกข์ยากของประชาชน พระองค์ทรงคิดว่าปัญหาทั้งหลายมีทางที่จะแก้ได้ เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงตัดสินพระทัยออกผนวช ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา เพื่อที่จะทำการค้นหาหนทางแก้ความทุกข์ยากทั้งปวง หลังจากที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานการบวชในเพศของบรรพชิตแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าศึกษาในสำนักของคณาจารย์ที่มีชื่อเสียง สำนักของอาฬารดาบสและอุทกดาบส ก็เป็นสำนักหนึ่งที่พระองค์ได้เคยเข้าไปศึกษามาจนจบแล้ว เมื่อพระองค์ได้ศึกษาค้นคว้าจากสำนักอาจารย์ต่าง ๆ แล้ว พระองค์ก็พบว่าคำสอนและวิธีปฏิบัติของบรรดาอาจารย์เหล่านั้นมิใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ได้หมดสิ้นดังนั้น พระองค์จึงออกมาค้นหาสัจธรรมด้วยพระองค์เอง พระพุทธองค์เข้าสู่ปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนที่พระองค์จะเข้าสู่ปรินิพพาน พระองค์ได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้รู้ สังขารทั้งหลายมีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาเธอทั้งหลาย จงยังกิจของตนและผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงแต่ตั้งให้สาวกรูปใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ โดยพระองค์ตรัสว่า พระธรรมวินัยเป็นศาสนาแทนพระองค์ การที่จะเห็นพระพุทธองค์นั้นก็คือการเห็นธรรมวินัย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ใครเห็นธรรมว่าเห็นเรา”

ความหมายและหลักคำสอนพื้นฐานในพุทธปรัชญา 
พุทธปรัชญา คือ หลักคำสอนเกี่ยวกับความจริง (สัจธรรม) และหลักปฏิบัติ (จริยธรรม) บางประการของพระพุทธศาสนาที่นำมาศึกษาวิเคราะห์ด้วยการใช้เหตุผลตามวิธีการของปรัชญา ตามคำนิยามนี้หมายความว่า พุทธปรัชญาจะจำกัดวงอยู่ในส่วนที่เป็นศาสนธรรมของพระพุทธศาสนาเท่านั้น


คัมภีร์ของพุทธปรัชญา 
คัมภีร์ที่สำคัญของพุทธปรัชญาเรียกว่า “พระไตรปิฎก” ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่รวมเอาหลักธรรมของพุทธปรัชญามารวมไว้เป็นหมวดหมู่ หลักธรรมเหล่านั้นมีทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ นอกจากนี้ ยังมีหนังสือที่นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาได้เขียนขึ้นมามากมาย เช่น พระอรรถกถาจารย์ได้เขียนคำอธิบายข้อความในพระไตรปิฎกขึ้น เรียกว่า “อรรถกถา” พระฎีกาจารย์ได้เขียนหนังสืออธิบายข้อความในอรรถกถาเรียกว่า “ฎีกา” และพระอนุฎีกาได้เขียนหนังสืออธิบายฎีกาอีกต่อหนึ่ง เรียกว่า “อนุฎีกา” นักปราชญ์ทางพุทธศาสนายังเขียนหนังสือเพื่ออธิบายอนุฎีกาอีก เรียกว่า “โยชนา” นอกจากนี้ ก็ยังมีหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่ออธิบายหัวข้อธรรมเฉพาะเรื่องอีกเรียกว่า “ปกรณ์วิเสส” เช่น มงคลทีปนี วิสุทธิมรรค เป็นต้น ซึ่งเป็นผลงานการรจนาของพระมหาเถระผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสนาพุทธหลักธรรมในพระไตรปิฎกถือว่าเป็น “พุทธพจน์” หรือ “พระบาลี” คือเป็นถ้อยคำหรือคำพูดที่พระพุทธองค์ตรัสเอง และถือว่าเป็นหลักฐานหรือข้อมูลขั้นที่หนึ่ง (ข้อมูลขั้นต้น) ในการศึกษาหรือนำมาอ้างอิง แต่บางตอนอาจจะเป็นถ้อยคำหรือคำพูดของสาวกบ้าง แต่พระพุทธองค์ก็ทรงรับรองอีกครั้งหนึ่ง

หลักธรรมในพุทธปรัชญาทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ นี้ แบ่งออกได้เป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ ตามลักษณะของคำสอน พระไตรปิฎก แปลว่า ตะกร้า 3 หมายถึงการจัดหมวดหมู่ของหลักธรรมไว้เป็น 3 หมวดแล้วเรียกชื่อตามหมวดของหลักธรรมนั้น ๆ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก และแต่ละหมวดก็การแบ่งย่อยออกไปอีก ดังรายละเอียด ดังนี้

พระวินัยปิฎก มีตัวข้อธรรมที่เรียกว่า “พระธรรมขันธ์” ทั้งหมดมี 21,000 พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น 5 หัวข้อใหญ่ ๆ คือ 
(1) อาทิกรรม (สุตตวิภังค์)
(2) ปาจิตตีย์ (ภิกขุณีวิภังค์)
(3) มหาวรรค
(4) จุลวรรค
(5) ปริวาร

พระสุตตันปิฎก มีหัวธรรมทั้งหมด 21,000 พระธรรมขันธ์ เป็นคำสอนที่ได้มาจากการบันทึกการเทศนาของพระพุทธเจ้า รายละเอียดในแต่ละเรื่องจะบอกว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด มีใครเป็นผู้สดับธรรม ทรงแสดงธรรมเรื่องอะไร และเมือจบพระธรรมเทศนาแล้ว ปรากฏผลอย่างไรบ้าง พระสุตตันตปิฎกแบ่งออกเป็น 5 คัมภีร์ใหญ่ ๆ คือ 
(1) ทีฆนิกาย
(2) มัชฌิมนิกาย
(3) สังยุตตนิกาย
(4) อังคุตตนิกาย
(5) ขุททกนิกาย

พระอภิธรรมปิฎก มีหัวข้อธรรมทั้งหมด 42,000 พระธรรมขันธ์ เป็นคำสอนเกี่ยวกับปรมัตถธรรมล้วน ๆ เป็นชั้นสูง ละเอียดลึกซึ้ง การพรรณนาหรือการอธิบายไม่ระบุบุคคล สถานที่ และกาลเวลา แบ่งออกเป็น 7 คัมภีร์ คือ 
(1) สังคณี
(2) วิภังค์
(3) ธาตุกถา
(4) ปุคคลบัญญัติ
(5) กถาวัตถุ
(6) ยมก
(7) ปัฏฐาน

พุทธธรรมที่สำคัญ 
พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนอภิปรัชญาที่ขาดจากภาคปฏิบัติ พระองค์จึงไม่ทรงเน้นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาอภิปรัชญาในสมัยนั้นนิยมคิดกัน แต่ทรงสอนเน้นในเรื่องการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เป็นสำคัญ การที่พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อปัญหาอภิปรัชญาก็ด้วยเหตุผลที่ว่า การถกเถียงในเรื่องของโลกว่า เที่ยงหรือไม่? เป็นต้น ตามทัศนะของพุทธเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่ใช้เหตุที่จะนำมหาชนเข้าสู่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิตอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม แม้พระพุทธองค์ทรงไม่พยากรณ์ในเรื่องทั้งหลายดังกล่าว แต่ในพุทธธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ก็เป็นการตอบปัญหาในเรื่องอภิชญาอย่างชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ซึ่งจะได้กล่าวถึงพุทธธรรมบางหัวข้อ เป็นต้นลำดับ ดังต่อไปนี้ ทุกข์เป็นสำคัญ การที่พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อปัญหาอภิปรัชญาก็ด้วยเหตุผลที่ว่า การถกเถียงในเรื่องของโลกว่า เที่ยงหรือไม่? เป็นต้น ตามทัศนะของพุทธเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่ใช้เหตุที่จะนำมหาชนเข้าสู่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิตอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม แม้พระพุทธองค์ทรงไม่พยากรณ์ในเรื่องทั้งหลายดังกล่าว แต่ในพุทธธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ก็เป็นการตอบปัญหาในเรื่องอภิชญาอย่างชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ซึ่งจะได้กล่าวถึงพุทธธรรมบางหัวข้อ เป็นต้นลำดับ ดังต่อไปนี้

อริยสัจ 4 (The Four Noble Truths) 
อริยสัจ แปลตามอักษรว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของท่านผู้ประเสริฐ (อริยะ) หรือ ความจริงอันทำให้บุคคลเป็นผู้ประเสริฐ ดังนั้น ผู้ใดรู้แจ้งเห็นจริงในอริสัจ ผลนั้นก็จะกลายเป็นพระอริยบุคคลหากจะกล่าวโดยสรุป คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดอาจประมวลลงในอริยสัจ เป็นต้นว่า หลักขันธ์ 5 หลักไตรลักษณ์ หลักธรรมและหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นอาทิ ล้วนแต่เป็นเรื่องของทุกข์สัจทั้งสิ้น การที่พระพุทธองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ก็เพราะทรงตรัสรู้อริยสัจ 4 นี่เอง ด้วยเหตุนี้ อริยสัจ 4 จึงมีความสำคัญมาก อาจกล่าวได้ว่า อริยสัจ 4 เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทีเดียว

แหล่งที่มา <https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/buddhist_philosophy/index.html
(สิงหาคม 2543)

การบัญญัติสิกขาบทของพระพุทธเจ้า (บัญญัติพระวินัย)

การบัญญัติสิกขาบทของพระพุทธเจ้า (บัญญัติพระวินัย) การบัญญัติพระวินัยของพระพุทธเจ้ามีที่มาและมีขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ ในสมัยหนึ่ง พระผู้มี...